วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุโค่ยเรื่องเสียว จอมไสยสาว ภาคพิเศษ อาจอง ตอนที่ 1




[เรื่องราวความรัก ความแค้นขอบคนสามคนที่ผูกด้วยรัก ริษยา อาฆาต ข้ามภพข้ามชาติ]

!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
...ตู..ม.......
เสียงระเบิดดังสนั่น ภายในถ้ำสะเทือนเลื่อนลั่น
แล้ว...............

วินาทีสุดท้าย....ก่อนที่สติและสัมปชัญญะของข้าจะขาดหาย
จำได้อย่างชัดเจนว่าร่างนาคของพี่องอาจ หรือ วรรคปะนาคารวบรวมพลังสุดท้ายของชีวิตประโจนเข้ามา

ตอนนั้นข้าแทบตั้งตัวไม่ทันเพราะไม่เชื่อว่าผู้ที่ถูกพิษนาคของข้าแล้วยังจะมีกำลังใด ๆ หลงเหลืออยู่อีก
........ข้าประมาทเกินไปจริง ๆ

เพราะรักเพราะหลงนี่เอง..ที่ต้องทำให้ข้าต้องมาถูกจองจำ
.....อีกครั้ง ...อีกครั้ง และอีกครั้งในที่นี้
ก็เหมือนชาติที่แล้ว ที่แล้ว ที่แล้ว และที่แล้ว ไม่ว่าจะยาวนานเพียงไร
เขี้ยวพิษของวรรคปะนาคาฝังเข้าไปที่บริเวณลำคอของข้า
ไม่นานเลย ๆ พิษร้ายแรงก็ฉีดพล่านเข้ามาในร่างของข้า
และแรงปะทะและรัดเหวี่ยงทำให้ถ้ำในมิตินั้นพังทลายลงมา
กลบฝังทั้งข้าและวรรคปะ

................

ในความมืดมิดที่ข้ายังหาขอบเขตไม่ได้
ข้าปะวรรคผู้แกร่งกล้าต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้
พ่ายรัก และพ่ายสงครามของชีวิต
แต่ที่แพ้ก็เนื่องเพราะตันหาและโทสะ

อาณาบริเวณที่ข้าสามารถแผ่กระแสจิตออกไปได้ไม่เกิน 30 ก้าว
ในห้วงดวงจิตมีแต่ความสับสน
ร่างกายขยับไม่ได้แม้แต่นิด
เหมือนถูกตรึงเอาไว้กับอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น
ข้าพยายามที่ขยับร่างที่กองนิ่งอยู่กับพื้นสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจขยับได้

ข้าพยายามใช้ฤทธิ์และอำนาจที่ตัวเองมีทั้งหมด
รวมกำลังที่จะแหวกออกจากการจำขังให้ได้
แต่ก็เหนื่อยเปล่า
ร่างกายและจิตใจไม่มีการตอบสนองใด ๆ

ข้าคงเหลือแต่เพียงความคิด
เพราะฉะนันข้าจะคิด ๆ ๆ
มนตราละเป็นไงบ้าง....

ทำไมนะ..ทำไมข้าต้องอาลัยอาวรณ์กับนางถึงขนาดนี้
ทั้งที่ชาติแล้วชาติเล่านางไม่เคยรักข้า..ไม่เคยแม้คิดจะรัก...ไม่เคย...ไม่เคย

ในวินาทีสุดท้าย..เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง
มนต์บทนั้นที่ก้องกังวาล..เหมือนจะถอดถอนอะไร ๆ หลายอย่างให้กับนาง

มนตรา...อยู่ที่ไหน...
ข้าพยายามส่งกระแสจิตตัวเองออกไปควานหา
แต่ในสภาพจำขังแบบนี้...ข้าจะทำอะไรได้

...............

ในที่สุดข้าก็ต้องกลับมาที่ตัวเอง
กลับมามองดูตัวเองที่อยู่ในร่างนาคตัวยาวใหญ่
ร่างที่เคยแปร่งประกายเจิดจ้า กลับกลายเป็นสีเทาหม่นหมอง
เหมือนไม่มีเยื่อใยชีวิตเหลืออยู่

หรือข้าตายไปแล้ว
คงใช่ซินะ..เพราะพิษจากเขี้ยวนาคของวรรคปะฝังเข้าไปที่คอนะลึกมาก
ข้ารู้สึกได้ถึงการปล่อยพิษเข้ามาในกายของข้าพร้อมกับแรงที่โถมเข้าใส่สุดชีวิต

ฉะนั้น..ข้าคงตายไปแล้วแน่นอน
แล้ว...ข้าก็ถูกลงโทษจำขังอยู่ที่นี้..ไม่รู้แม้แต่ว่าเป็นมิติไหน

................

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับไม่รู้จบ
ช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน
ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นวันใดเดือนใดบนโลกมนุษย์
ความทุกข์ทรมาณจากการถูกตอกตรึงอยู่กับที่มันทรมาณเหลือเกิน

ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกรัดแน่น อึดอัดเจียนตาย
ในช่วงเวลาที่หมุนวนซ้ำ ๆ ใจข้าเหมือนจะถูกศรทิ่มแทงเป็นจังหวะ ๆ สม่ำเสมอ
เจ็บ..ปวด..ร้าว..ไปทั้งกาย..และหัวใจ

ข้า..อยากจะตายไปจากอัตภาพนี้เสียเหลือเกิน...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ไม่อยากรับก็ต้องรับ..จำใจต้องรับ

ทุกข์ทางกายยังไม่เท่าไหร่หรอก
แต่ทุกข์ทางใจมันทรมาณเหลือเกิน..ทรมาณยิ่งกว่ากายเจ็บไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท้า

.............

แต่เวลา..ย่อมรักษาได้ทุกอย่าง
อะไรก็ตามมันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นที่สุด
เสียงของครูบาอาจารย์ก้องสะท้อนให้หัวเป็นช่วงขณะ ๆ

เมื่อ...ยอมรับความจริง...
ความทุกข์ใจก็คลายลงไปบ้าง
ทำให้ข้า..มีโอกาสย้อนทวนหวนคิดไปถึงเต้นเหตุทั้งหลาย

การจะแก้ไขความผิดพลาดใด ๆ
ควรจะต้องไปแก้ที่ต้นตอ..ต้นเหตุมิใช่หรือ

ข้ารวบรวมกระแสจิตของข้าที่มีทั้งหมดใหม่อีกครั้ง
ตอนแรก ๆ ก็ยากเสียเหลือเกิน

นับหนึ่งใหม่...ครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่รู้ว่าข้าได้นับหนึ่งไปกี่ครั้งแล้ว
ขี้เกียจนับขี้เกียนจำ

พลังจิตที่หย่อนคลายจากโทสะลงไปมากแล้ว..ข้าก็เริ่มที่จะมีกำลังมากขึ้น
เมื่อมีกำลังทางจิตมากพอ..ข้าก็มีอำนาจที่จะทวนกระแสของตัวเองไปเรื่อย ๆ

วันเวลาเหมือนจะถอยหลังไปเป็นห้วง ๆ
นานมากเหลือเกิน..แล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน
กว่าที่ข้าจะถึงเวลาที่อาจถือว่าเป็นต้นเหตุ

ขณะนี้...
ข้าเกิดมาเป็นโอรสองค์ที่ 2 ก็คือเป็นน้องนั่นแหละ
เราสองพี่น้องหน้าตาคล้ายกันมากจนเหมือนฝาแฝด
เสด็จพ่อเป็นกษัตริย์ครองแคว้นใหญ่อยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขง

บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ผู้คนล้วนจิตใจดีงาม
ทุกคนอยู่กันด้วยความสงบสุข
เราอยู่กันอย่างสันติ

ข้ามีพี่ชายหรือพระเชษฐาชื่อ สัญชัย
ส่วนข้านั้นเป็นน้องชื่อ ชัยสัญ
เรามีฤาษีไชยยันต์เป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา
ไม่ว่าจะเป็นรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ ยุทธสาสตร์ และไสยศาสตร์
เราต่างเจนจบ แต่ข้าไม่เคยเอาชนะพี่สัญชัยได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างดีที่สุดก็แค่เสมอเท่านั้นเอง

ทุกคนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าพระบิดา พระมารดา พี่เลี้ยง หรือข้าราชการบริหารทั้งหมด
ทุกคนมีแต่ชื่นชมพระเชษฐานของข้าเสมอ
แล้วก็มองข้ามความดีของตัวข้าไปตลอดเวลา
ไม่ว่าข้าจะพยายามมากเท่าไหร่
ข้าจะทำดีอะไร ๆ ก็ตาม
ก็ไม่เคยเทียบเคียงพี่สัญชัยได้เลย

ทำให้ข้ามีความเจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง
เลยให้สหายคนสนิทของข้าเที่ยวเสาะหาอาจารย์ไสยศาสตร์ที่เก่ง ๆ
ในที่สุดข้าก็ได้อาจารย์จากเขมรต่ำคนหนึ่ง
ท่านไม่ยอมให้ข้าเรียกชื่อ
แต่เพียงให้เรียกท่านว่า "อาจารย์บานอง"

อาจารย์บานองถ่ายทอดไสยดำให้กับข้าจนหมดใส้หมดพุง
ข้าก็เหมือนติดปีก...แต่ก็พยายามเก็บงำวิชาเหล่านั้นเอาไว้
ไม่ยอมที่จะแสดงออกมาอย่างง่าย ๆ

ในที่สุดพระบิดาก็แต่งตั้งให้พี่สัญชัยเป็นทายาทแห่งราชบัลลังก์
โดยที่จะให้ข้าออกไปปกครองหัวเมืองชายแดน
เหตุการณ์ครั้งันั้นทำให้ข้าเจ็บปวดใจมากเสียเหลือเกิน
ทำไม..ข้าจะต้องอยู่ในเมืองร่วมกับพี่สัญชัยไม่ได้

หรือว่า...ข้าไม่ใช่ ข้าไม่ใช่น้อง
ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานที่ที่ข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง
ทุกคนก็จะเมิน...เหมือนจะเหยียดหยาม
แม้จะไม่กล้าออกมานอกหน้า
แต่แววตานั้นตระโกนออกมาชัดเจน

................

วันหนึ่ง.............
พระมารดาเรียกข้าและพี่สัญชัยให้เข้าเฝ้าที่ห้องบรรทม
ด้วยความตื่นเต้น
ก็นาน ๆ ทีที่พระมารดาจะจะเรียกเข้าเฝ้า
ข้ารีบไปทันที แต่พอไปถึง...ยังไง ๆ ข้าก็ช้ากว่าพี่ชายข้าอยู่ดี

ข้ารีบเข้าไปหาพระมารดา
ลูกก็อยากให้แม่โน้มตัวเข้าไปกอดแล้วลุบหัว
เหมือน..เหมือน..
ที่ข้าเห็นพระมารดาทำกับพี่สัญชัยเมื่อตะกี้นี่นา

แต่พอข้าเข้าไปกราบแทบเท้า
พระมารดากลับตรัสว่า
"ชัยสัญ...ลูกนี่เหลวไหลใหญ่แล้ว..พี่เค้ามารอตั้งนานแล้ว ทำอะไรเอาอย่างพี่เค้าซิ..."

ใจดวงใจข้าแหลกสลาย กลายเป็นเปลวไฟ...
ข้าก้มหน้าลงกราบแทบเท้า..แล้วไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครอีก

ข้าจำได้เลา ๆ ว่าพระมารดาจะจัดพิธีอภิเสกสมรสให้กับพี่สัญชัย
พอได้ยินชื่อเจ้าสาวเท่านั้น..ทำให้ข้าสั่นไปทั้งตัว

"น้องหญิง..มนตรา..."
ทำไมต้องเป็นมนตรา..ด้วยนะ

ข้าหลับตานิ่ง...หวนนึกไปถึงการที่ข้าได้พบกับมนตรา
เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีคลัง
เธอเก่งกล้ากว่าหญิงคนใด ๆ กล้าพูด กล้าทำไม่แพ้ชาย
จนเป็นที่ครั่นคร้ามของหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย

อีกอย่าง...
มนตรา..เป็นศิษย์เอกของ "ท่านโสรจ" เจ้าพิธีการและอาคมของอาณาจักร
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมท่านบานองรับมนตราเป็นศิษย์
ใครถามท่านถึงเรื่องนี้..ท่านเพียงตอบว่า
"วาสนา...วาสนา..."
แค่นั้นเอง

มนตราจึงโดดเด่น นอกจากสวย แล้วเธอยังมีวิชา มีอาจารย์ดี
ข้าได้เห็นมนตราเพียงครั้งแรก
ใจข้าทั้งดวงก็ตกอยู่อุ้งหัตถ์ของนางเสียแล้ว
แต่ไม่ว่าข้าเพียรพยายามสักเท่าไร
มนตราไม่เคยจะมีใจให้กับข้า

แล้ว...
สิ่งที่ทำให้ข้ายิ่งเจ็บปวดเป็นเท่าทวีก็เกิดขึ้น
พี่สัญชัยมีเหตุต้องเดินทางไปที่บ้านของท่านอัครมหาเสนาบดีคลัง
ขณะที่กำลังปรึกษาหารือกันถึงกิจการของประเทศ
มนตราเดินผ่านมา

ท่านอัครมหาเสนาบดีได้เรียกเข้า
"มนตราลูกพ่อ...เข้ามานี่...เข้ามา..." ท่านกวักมือเรียกมนตราให้เดินเข้ามาหา
"นี่..เจ้าชายสัญชัย.."
มนตราย่อกายลงคารวะตามประเพณี
แต่เมื่อสายตาของทั้งสองสบกันเท่านั้นต่างก็ถูกศรรักขององค์กามเทพ
ทั้งสองต่างสะท้านหวั่นไหว

มนตรารีบหลบสายตาลงมองพื้น
พี่สัญชัยก็เฝ้าแต่จ้องมองนางอย่างแน่นิ่ง

วันนั้น...วันแรกที่ทั้งสองเจอกัน
ข่าวนี้ส่งมาถึงตัวข้าจากข้าทาสที่ข้าให้แฝงตัวเพื่อดูความเคลื่อนไหวของมนตรา
ใจข้าแทบลุกเป็นไฟ
แต่จะทำอะไรได้...อดทน..อดทน...

ข้าจะยอมเสียมนตราไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นข้าต้องวางแผน
ช่วงนั้นมีข่าวลือเรื่องแก้วพญานาคที่จมอยู่กลางลำน้ำโขง
ข้าให้คนสนิทของข้าคนหนึ่งไปสืบข่าว

ข้าทุ่มเททั้งเงินทุนและแรงลงไปมากมาย
ในที่สุดข้าก็ได้ความจริงว่า
ข่าวลือเรื่องนี้เรื่องจริง..เนื่องจากมีคนไปได้ลายแทงมา

ไม่นานนักข้าก็ได้ลายแทงมาครอบครอง
เงินกับอำนาจบรรดาลอะไรก็ได้ตั้งแต่อดีตตราบจนถึงอนาคต

ข้ารีบจัดการในทางลับให้สมัครพรรคพวกเตรียมการเพื่องมแก้วพญานาค
ก็พระบิดา พระมารดา ต่างก็ไม่เห็นข้าอยู่แล้ว
ข้าจะหายไปสักเดือนครึ่งเดือนจะเป็นไรไป
ไม่มีใครสักคนจะสำเนียกได้ด้วยซ้ำไปว่าข้าหายไป

ในการงมแก้วพญานาคข้าต้องเสียคนไปถึงสิบสองคน
ทุกคนตายโดยไม่ทราบสาเหตุ
เพียงทุกคนตัวเป็นสีเขียวไปหมด
แต่ในที่สุดข้าก็ได้แก้วพญานาคมาครอบครองจนได้
โดยการช่วยเหลือของอาจารย์ของข้า "บานอง"

เมื่อได้แก้วพญานาคมาแล้ว
ข้าก็คิดแผนการณ์หนึ่งขึ้นมาได้

ข้ารีบไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่
"พระมารดา..จะไปขอหมั้นเสด็จพี่กับมนตราในเร็ววันนี้หรือพระเจ้าข้า"
เสด็จแม่พยักหน้าแล้วพูดว่า
"แม่กำลังคิดอยู่ว่าหาสิ่งใดเป็นของหมั่นจึงจะคู่ควรทั้งแก่ลูกสัญชัย กับลูกมนตรา"
ทางมาเข้าช่องของข้าในทันที
"ลูกขอกราบบังคมทูลเสนอได้หรือเปล่าพระเจ้าข้า"
"อึม..ได้ซิ..." เสด็จแม่ตรัสอย่างอารมณ์ดี

"ลูกขอเสนอให้เสด็จพี่ไปงมเอาแก้วพญานาค..พอดีลูกได้ลายแทงมาแล้ว"
ข้ากราบบังคมทูลแล้วล้วงเอาลายแทงออกมาจากอกเสื้อ
จากนั้นก็กางลายแทงลงกลางห้อง

ลายแทงหนังมนุษย์มีรูปภูมิประเทศที่เป็นเส้นสายมากมาย
ข้าชี้ไปที่ตรงวงกลมแล้วกราบบังคมทูลว่า
"ตามลายแทงอยู่ตรงนี้แหละ...ลูกคิดว่าน่าจะให้พี่สัญชัยไปค้นหา
แล้วเอามามาหมั้นน้องหญิงมนตรา..เพราะต่อไปนางคือรานีแห่งนคร"

เสด็จแม่พยักหน้าแล้วมองสบตาข้า
ข้าพยักหน้ายืนยันในความเห็น
"อึม..ดีมากเลย..ชัยสัญแม่ว่าลูกเติบใหญ่ขึ้นะ..."
ข้าหลบสายพระเนตรของพระมารดาก้มลงแอบยิ้มอย่างยินดี
จะไม่ข้ายินดีได้ยังไงละก็ข้ามีแผนสำคัญอยู่นี่

มนตรา...เจ้าจะต้องเป็นของข้าจนได้
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา
ข้าแอบหัวเราะอย่างรื่นรมย์ภายในใจ
สนทนาเรื่องทั่ว ๆ ไปกับพระมารดาอยู่ครู่หนึ่ง
ข้าก็ทูลลาพระมารดาออกมา

ข้าจะต้องไปปรึกษาธุระสำคัญกับอาจารย์บานอง
"ท่านอาจารย์...."
"อือ...ใครนะ..."
"ข้าเองแหละ...ชัยสัญ..."
ข้าปรึกษาถึงแผนการณ์สำคัญกับอาจารย์บางนองจนค่ำมืด

.............

ไม่นานนักสายของข้ามารายงานว่า
พระมารดาได้เสนอเรื่องของหมั่นให้กับพระบิดาทราบ
ท่านคิดอยู่นานเหมือนกันแล้วตรัสว่า
"แล้วแต่น้องนาง...ดีเหมือนกันเป็นการเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่จะเป็นรานีในอนาคต"

"สำเร็จ...สำเร็จ...ฮา ๆ ๆ ๆ ๆ"
ข้าหัวเราะอย่างเต็มที่ได้รับทราบว่าแผนการณ์ที่วางเอาไว้สำเร็จด้วยดี

...............

จากนั้นไม่นาน...พี่สัญชัยก็เดินทางไปตามลายแทงเพื่อหาแก้วพญานาค
ประชาชนที่รู้เรื่องนี้ต่างก็แสดงความชื่นชมยินดีกันไปทั่ว
ข้าแอบมองด้วยสายตาที่แวววาว
ส่วนมือก็ล้วงเข้าไปยังกระเป้าที่อยู่ข้างเอว
ลูบคลำแก้วพญานาคที่ข้างมขึ้นมาแล้ว

"องค์ชาย..."
"อ๋อ..อาจารย์บานองนะเอง..."
"หลังจากนี้อีก 7 วันขอให้องค์ชายไปเข้าพิธีสำคัญ"
ข้าพยักหน้ายื่นมือจับมืออาจารย์บางนองเอาไว้แน่น
"ฝากไว้กับอาจารย์ท่านแล้ว...."
อาจารย์บานองพยักหน้าด้วยสายตาแวววาว
----------------------------------------------------------------